ดาวเคราะห์น้อย ASTEROID

ดาวเคราะห์น้อย ASTEROID
               ดาวเคราะห์น้อยเป็นวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะที่มีองค์ประกอบเป็นหินหรือโลหะเป็นหลัก โคจรรอบดวงอาทิตย์คล้ายกับดาวเคราะห์ แต่มีขนาดเล็กเกินไปที่จะจัดเป็นดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อยมีขนาดที่แตกต่างกัน ตั้งแต่หลายร้อยกิโลเมตรไปจนถึงเศษหินเล็กๆ หากเรานำมวลของดาวเคราะห์น้อยทั้งหมดมารวมกันจะได้มวลน้อยกว่าดวงจันทร์ของโลกเสียอีก มนอดีตที่ผ่านมามีดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากพุ่งชนโลก
ดาวเคราะห์น้อย เป็นแถบเทหวัตถุที่อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี การก่อตัวของดาวเคราะห์น้อยเริ่มขึ้นพร้อมกับดาวเคราะห์รอบข้างด้วยการชนระหว่างหินหลอมละลายจำนวนมากรวมตัวกัน และมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่แรงโน้มถ่วงจากดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ทำให้ก้อนหินเหล่านี้ต้องกระจัดกระจายเป็นวงแหวน ก้อนหินขนาดใหญ่ล้อมรอบดวงอาทิตย์
ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่โคจรอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี เรียกว่า แถบดาวเคราะห์น้อย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวงแหวนลูกโดนัท ในแถบดาวเคราะห์น้อยนี้มีดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดใหญ่กว่า 100 กิโลเมตร อยู่กว่า 200 ดวง มีขนาดมากกว่า 1 กิโลเมตร อยู่กว่า 750,000 ดวง และที่มีขนาดเล็กๆอีกกว่าล้านดวง นอกจากนี้ยังมีดาวเคราะห์น้อยอีกจำนวนมากอยู่นอกแถบดาวเคราะห์น้อย เช่น ดาวเคราะห์น้อยโทรจัน (Trojans) และยังมีดาวเคราะห์น้อยที่มีวงโคจรอยู่ในระบบสุริยะชั้นในและตัดกับวงโคจรของโลกและดาวอังคาร เช่น เอเธนส์ (Atens) อาร์มอร์ (Amors) และอพอลโล (Apollos) อย่างไรก็ตามวงแหวนดาวเคราะห์น้อยไม่ได้เป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยดาวเคราะห์น้อย โดยแต่ละดวงอยู่ห่างกันเป็นระยะทางเฉลี่ยประมาณ 1 ล้านกิโลเมตร

การกำเนิดของดาวเคราะห์น้อย
ดาวเคราะห์น้อยเป็นเศษชิ้นส่วนที่เหลือจากการก่อตัวของระบบสุริยะในช่วงแรกประมาณ 4.6 ล้านปีที่แล้ว แต่ก่อตัวไม่สำเร็จเนื่องจากถูกรบกวนโดยแรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของดาวพฤหัสบดีซึ่งมีวงโคจรอยู่ใกล้เคียง

คุณสมบัติทางกายภาพ
ดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ เซเรส (Ceres) มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 950 กิโลเมตร และดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดเล็กที่สุดคือ 1991 BA มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 เมตร ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่มีรูปทรงไม่สมมาตร เพราะมีมวลน้อยจึงมีแรงโน้มถ่วงไม่มากพอที่จะเอาชนะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างสสารที่เป็นเนื้อดาว จึงไม่มีรูปร่างเป็นทรงกลม ดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ดาวเคราะห์น้อยประมาณ 150 ดวง มีบริวารขนาดเล็กโคจรรอบด้วย บางดวงมีบริวารถึง 2 ดวง นอกจากนี้มีระบบดาวเคราะห์น้อยที่อยู่เป็นคู่อีกด้วย บางระบบมีสามดวงโคจรรอบกัน ดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากถูกแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์จนกลายเป็นดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ไป เช่น ดวงจันทร์ของดาวอังคารที่ชื่อว่า โฟบอส และดีมอส นอกจากนี้บางดวงกลายเป็นดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ยูเรนัส และเนปจูน อุณหภูมิเฉลี่ยของดาวเคราะห์น้อยประมาณ -73 องศาเซลเซียส ดาวเคราะห์น้อยยังคงรูปร่าง และคุณสมบัติต่างๆ มาเป็นเวลาหลายล้านปี ดังนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถหาคุณสมบัติของระบบสุริยะตอนแรกเกิดได้

การจำแนก
นักดาราศาสตร์ทำการศึกษาดาวเคราะห์น้อยเพื่อศึกษาวิวัฒนาการของระบบสุริยะ โดยจำแนกดาวเคราะห์น้อยออกเป็น 3 แบบ ตามองค์ประกอบทางเคมี ดังนี้
- C-type (Chondrite) เป็นดาวเคราะห์น้อยที่พบเห็นประมาณร้อยละ 75 มีองค์ประกอบเป็นคาร์บอน มีสีเข้มเพราะพื้นผิวสะท้อนแสงได้ไม่ดี ตัวอย่างของดาวเคราะห์ชนิดนี้คือ 324 Bamberga
- S-type (Stony) เป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีอยู่ประมาณร้อยละ 17 มากเป็นลำดับที่ 2 รองจาก C-type มีองค์ประกอบหลักเป็นหินซิลิเกต เหล็ก และนิเกิล ตัวอย่างเช่น 433 Eros
- M-type (Mental) เป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีอยู่ประมาณร้อยละ 8 มีความสว่างมาก เนื่องจากมีองค์ประกอบเป็นโลหะเหล็กและนิกเกิล สะท้อนแสงอาทิตย์ได้ดี
ในปัจจุบันยังมีการค้นพบว่าดาวเคราะห์น้อยบางดวงมีบริวารโคจรอยู่รอบๆ และที่ได้รับการยืนยันแล้วมีมากถึง 24 ดวง

ความคิดเห็น